หากพูดถึงประวัติการโรงแรม แน่นอนว่าภาพที่ปรากฏในความคิดของหลายคนจะต้องเป็นห้องสวีทสุดหรู อาหารรสเลิศ และบริการอันไร้ที่ติ ทว่าเบื้องหลังความหรูหราเหล่านั้น อุตสาหกรรมการบริการได้ผ่านเส้นทางที่ยาวนาน และเต็มไปด้วยเรื่องราวน่าสนใจมากมาย นับตั้งแต่มนุษย์เริ่มสร้างสังคมและพัฒนาไปข้างหน้า การบริการก็ค่อย ๆ เติบโตและปรับเปลี่ยนไปตามวัฒนธรรม เทคโนโลยี และความคาดหวังของผู้คนในแต่ละยุคสมัย จากอดีตจนถึงปัจจุบัน อุตสาหกรรมการบริการพัฒนาขึ้นอย่างไม่หยุดนิ่งโดยมีเป้าหมายสูงสุดคือตอบสนองทุกความต้องการของนักเดินทาง
การต้อนรับ คือศิลปะแห่งการดูแลและให้ความสำคัญกับผู้มาเยือน ซึ่งไม่ได้หมายถึงการจัดหาที่พักหรืออาหารเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการสร้างประสบการณ์ที่ดีและความสัมพันธ์ที่น่าประทับใจกับแขกผู้เข้าพักที่โรงแรมด้วย
แนวคิดของการต้อนรับถูกนำมาปรับใช้กับบริการต่าง ๆ โดยครอบคลุมทั้งที่พัก บริการอาหารและเครื่องดื่ม ไปจนถึงความบันเทิง ไม่ว่าจะเป็นโรงแรม ภัตตาคาร รีสอร์ต หรืองานอิเวนต์ แก่นแท้ของอุตสาหกรรมการบริการคือการต้อนรับอย่างอบอุ่นและใส่ใจ ทำให้ผู้คนรู้สึกเหมือนอยู่บ้านแม้จะเดินทางไปที่ใดก็ตาม ประวัติการโรงแรมมีเส้นทางอันยาวนานตั้งแต่ในอดีตที่ผู้คนพักผ่อนในโรงเตี๊ยม จนถึงปัจจุบันที่มีโรงแรมหรูมอบความสะดวกสบาย ศิลปะแห่งการต้อนรับเปรียบเสมือนสิ่งที่สะท้อนความต้องการพื้นฐานของมนุษย์ในการสร้างความสัมพันธ์ที่มีความหมาย รวมไปถึงการดูแล และแบ่งปันช่วงเวลาที่มีค่าร่วมกับผู้คนที่ได้พบเจอ
ประวัติการโรงแรมหรือรากเหง้าของศิลปะการต้อนรับนั้นย้อนไปถึงอารยธรรมเมโสโปเตเมียและอียิปต์โบราณ ซึ่งการให้ที่พักพิงแก่ผู้เดินทางถือเป็นหนึ่งในธรรมเนียมที่สำคัญในยุคเมโสโปเตเมีย โรงเตี๊ยมเป็นสถานที่สำหรับการพักผ่อนและเติมเสบียงของพ่อค้าและนักแสวงบุญที่เดินทางมาตามเส้นทางพาณิชย์ แม้จะดูเรียบง่ายแต่โรงเตี๊ยมก็เป็นสถานที่สำคัญสำหรับการแลกเปลี่ยนข่าวสารและสินค้าในสมัยนั้น
สำหรับอารยธรรมอียิปต์การเปิดบ้านต้อนรับนักเดินทางเป็นเครื่องแสดงถึงหน้าที่ทางสังคมของผู้มีฐานะมั่งคั่ง ส่วนวัดในอียิปต์ก็มีการจัดที่พักให้กับผู้แสวงบุญทางศาสนา ซึ่งสะท้อนถึงแนวคิดของการต้อนรับในเชิงจิตวิญญาณ
สำหรับยุคกรีกโบราณ แนวคิดของการต้อนรับ หรือ “เซเนีย” (Xenia) ถือเป็นเรื่องศักดิ์สิทธิ์ เพราะมีความเชื่อว่าทวยเทพอาจมาเยือนในคราบของมนุษย์ เจ้าบ้านจึงต้องต้อนรับแขกด้วยอาหาร ที่พัก และของขวัญ เพื่อแสดงถึงน้ำใจและกระชับสายสัมพันธ์ทางสังคม
ส่วนในอาณาจักรโรมันการต้อนรับเป็นสิ่งที่สะท้อนเกียรติยศและสถานะทางสังคม ชาวโรมันผู้มั่งคั่งมักทำ “ฮอสปิเทียม” (Hospitium) หรือข้อตกลงการเป็นเจ้าภาพซึ่งกันและกันเพื่อสร้างพันธมิตรและความสัมพันธ์ทางการเมือง นอกจากนี้ตามเส้นทางของจักรวรรดิโรมันยังมีโรงเตี๊ยมคอยรองรับทหาร ข้าราชการ และพ่อค้า ซึ่งต่อมากลายเป็นรากฐานสำคัญของอุตสาหกรรมการบริการในยุคปัจจุบัน
ในยุคกลาง ประวัติการโรงแรมมีวิวัฒนาการไปตามการเดินทางที่เพิ่มขึ้นของนักแสวงบุญ พ่อค้า และนักเดินทางทั่วทวีปยุโรป เมื่อเส้นทางการค้าเริ่มเติบโตและการเดินทางเพื่อแสวงบุญกลายเป็นเรื่องแพร่หลาย ความต้องการที่พักจึงสูงขึ้นตามไปด้วย นำไปสู่การก่อตั้งโรงแรมขนาดเล็ก (Inn) และบ้านรับรองแขก (Guesthouse) ตามเส้นทางยอดนิยม สถานที่เหล่านี้ให้บริการด้านที่พักและอาหารอย่างเรียบง่ายสำหรับพ่อค้าและนักเดินทางที่ต้องการพักผ่อน ในขณะที่โรงเหล้า (Tavern) กลายเป็นศูนย์กลางชุมชนภายในเมืองที่ผู้คนมาพบปะสังสรรค์ รับประทานอาหาร และแลกเปลี่ยนเรื่องราวระหว่างกัน
ในศตวรรษที่ 18 และ 19 ยุคแห่งการปฏิวัติอุตสาหกรรมได้นำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ นั่นคือการคิดค้นเครื่องจักรไอน้ำ ความก้าวหน้านี้ส่งผลให้การคมนาคมทำได้รวดเร็วและเข้าถึงง่ายกว่าเดิม ผู้คนเริ่มเดินทางมากขึ้น ความต้องการที่พักเพิ่มสูงขึ้นอย่างมหาศาล เครือโรงแรมขนาดใหญ่จึงถือกำเนิดขึ้น
เมื่อการคมนาคมดีขึ้นธุรกิจโรงแรมหรูก็เริ่มขยับขยายได้มากกว่าเดิม โดยเฉพาะในยุโรปโรงแรมเหล่านี้มอบบริการอันหรูหราพร้อมตอบสนองความต้องการของนักเดินทางผู้มั่งคั่ง ช่วงเวลานี้คืออีกหนึ่งช่วงที่สำคัญของประวัติการโรงแรม เนื่องจากเป็นจุดเริ่มต้นของโรงแรมเดอะซาวอย (The Savoy Hotel) ณ ลอนดอน แบรนด์โรงแรมหรูระดับโลกที่ได้สร้างมาตรฐานใหม่ให้กับความหรูหราและคุณภาพการบริการ
ศตวรรษที่ 20 ถือเป็นช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์จนได้รับการขนานนามว่า “ยุคทอง” ในประวัติการโรงแรม ในช่วงเวลานี้โรงแรมหรูเริ่มกลายเป็นมาตรฐานสูงสุดของความสะดวกสบายและบริการอันไร้ที่ติ โรงแรมระดับตำนานหลายแห่ง เช่น เดอะริทซ์ (The Ritz) ในปารีส และ วอลดอร์ฟ แอสโทเรีย (Waldorf Astoria) ในนิวยอร์ก ได้สร้างมาตรฐานไว้อย่างยอดเยี่ยมจนสามารถดึงดูดบรรดาชนชั้นสูงและคนดังจากทั่วทุกมุมโลกให้เข้ามาใช้บริการอย่างต่อเนื่อง
สิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนโฉมอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวคือการเดินทางโดยเครื่องบิน ผู้คนสามารถเดินทางไปยังที่ห่างไกลได้อย่างรวดเร็วและสะดวกขึ้น ส่งผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล นำไปสู่การขยายตัวของธุรกิจโรงแรมหรู รวมถึงเครือโรงแรมระดับโลก เช่น ฮิลตัน (Hilton) และแมริออท (Marriott) ที่เติบโตขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการของนักเดินทางทั่วโลก ยุคนี้นับว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการบริการสมัยใหม่ ซึ่งผสานความหรูหราและความสะดวกสบายเข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัวที่สุดเท่าที่เคยมีมา
การเข้ามาของยุคดิจิทัลได้นำการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่มาสู่อุตสาหกรรมการบริการอีกครั้ง เทคโนโลยีสมัยใหม่เป็นตัวช่วยสำคัญที่ทำให้การบริการมีประสิทธิภาพและเป็นมิตรกับผู้บริโภคมากขึ้น โดยเฉพาะแพลตฟอร์มจองที่พักออนไลน์ เช่น Booking.com และ Airbnb ที่ช่วยให้นักเดินทางสามารถจองที่พักได้ภายในไม่กี่คลิก
นอกจากนี้โซเชียลมีเดียและรีวิวออนไลน์ ยังกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่มีอิทธิพลต่ออุตสาหกรรมการบริการเป็นอย่างมาก แพลตฟอร์มอย่าง TripAdvisor และ Yelp เปิดโอกาสให้นักเดินทางได้แบ่งปันประสบการณ์ของตนเอง ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อภาพลักษณ์ของโรงแรมและร้านอาหาร ในขณะเดียวกันโซเชียลมีเดียก็เป็นช่องทางสำคัญที่โรงแรมใช้สื่อสารกับแขก ประชาสัมพันธ์ข้อเสนอพิเศษ อีกทั้งยังเป็นเครื่องมือทางการตลาดที่ใช้สร้างความภักดีต่อแบรนด์
สถาบัน Swiss Hotel Management School (SHMS) มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมการบริการระดับโลกด้วยการผลิตบุคลากรชั้นนำที่มีทักษะและความรู้เพียบพร้อมสำหรับการทำงานในโรงแรมหรู รีสอร์ต และการบริหารจัดการการท่องเที่ยว ด้วยหลักสูตรที่ผสานทฤษฎีเข้ากับประสบการณ์การทำงานจริง บัณฑิตจาก SHMS จึงมีความพร้อมก้าวสู่เส้นทางอาชีพในสายงานบริการที่เต็มไปด้วยความท้าทายและเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา สถาบันแห่งนี้ไม่เพียงแต่ให้ความรู้เท่านั้น แต่ยังหล่อหลอมความเป็นมืออาชีพด้านการบริการให้กับนักศึกษา และผลิตบุคลากรคุณภาพที่มีความพร้อมในการผลักดันมาตรฐานใหม่ให้กับโลกแห่งการบริการ
สถาบัน SHMS เปิดประตูสู่โอกาสอันยอดเยี่ยมมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการฝึกงานกับแบรนด์ชั้นนำระดับโลก หรือการสร้างคอนเนกชันกับผู้นำในอุตสาหกรรมการบริการ ความเป็นเลิศของหลักสูตรการโรงแรมที่ SHMS ยืนยันได้จากศิษย์เก่าที่ได้รับโอกาสฝึกงานและทำงานกับองค์กรชั้นนำระดับโลก ตอกย้ำถึงคุณภาพและความมุ่งมั่นของสถาบันในการผลิตบุคลากรที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญ ด้วยหลักสูตรที่ครอบคลุมทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัติ บัณฑิตของ SHMS จึงประสบความสำเร็จในการทำงานร่วมกับทุกองค์กรที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมการบริการ ทั้งโรงแรมหรู รีสอร์ต และการบริหารจัดการการท่องเที่ยว รากฐานการศึกษาที่แข็งแกร่งทำให้บุคลากรมืออาชีพเหล่านี้มีศักยภาพในการยกระดับประสบการณ์ของแขก ปรับปรุงการดำเนินงานในองค์กรให้มีประสิทธิภาพ รวมทั้งนำเสนอแนวคิดใหม่ ๆ ที่ช่วยขับเคลื่อนอุตสาหกรรมการบริการ
นับตั้งแต่อารยธรรมโบราณจนเข้าสู่ยุคดิจิทัลอย่างในปัจจุบัน ประวัติการโรงแรมคือสิ่งที่สะท้อนถึงการปรับตัวในโลกที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ประเทศที่มีชื่อเสียงมาอย่างยาวนานด้านความเป็นเลิศในอุตสาหกรรมการบริการ โดยเฉพาะการโรงแรมคือสวิตเซอร์แลนด์ การโรงแรมแบบสวิสเป็นที่ยอมรับในระดับสากลถึงความหรูหราและคุณภาพการบริการ ซึ่งสถาบันการโรงแรมชั้นนำของโลกอย่าง Swiss Hotel Management School (SHMS) มีบทบาทสำคัญในการผลิตบุคลากรผู้โลดแล่นในธุรกิจโรงแรมระดับสากล เบื้องหลังความสำเร็จของมืออาชีพเหล่านี้คือรากฐานการศึกษาอันแข็งแกร่งจากหลักสูตรของสถาบัน SHMS ที่ผสานหลักการโรงแรมแบบดั้งเดิมเข้ากับเทคโนโลยีสมัยใหม่ ให้นักศึกษาได้เรียนรู้ผ่านการลงมือปฏิบัติและการฝึกงานร่วมกับภาคอุตสาหกรรม นอกจากนี้สถาบัน SHMS ยังให้ความสำคัญกับความยั่งยืนและการประยุกต์ใช้นวัตกรรมใหม่ ๆ ทำให้นักศึกษามีความรู้และทักษะพร้อมสำหรับทุกการเปลี่ยนแปลงในอนาคตของอุตสาหกรรมการบริการ
หากคุณมีความสนใจในด้านการบริการ และต้องการศึกษาต่อด้านการบริหารโรงแรมหรูที่สถาบัน Swiss Hotel Management School ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ติดต่อทีม Swiss Education Group ได้ที่เบอร์โทรศัพท์ 02-652-1481 หรือ LINE @studyinswitzerland เพื่อพูดคุยกับเราโดยตรง
Q : ใครคือบิดาแห่งการโรงแรม ?
A : บุคคลที่ได้รับการยกย่องให้เป็น “บิดาแห่งการโรงแรม” คือ ซีซาร์ ริทซ์ (César Ritz) ผู้ก่อตั้งโรงแรม Ritz-Carlton อันเป็นจุดเริ่มต้นของการปฏิวัติแนวคิดเกี่ยวกับการให้บริการในโรงแรมหรู
Q : อะไรคือจุดกำเนิดของการบริการ ?
A : ศาสตร์แห่งการบริการมีจุดกำเนิดในอารยธรรมเมโสโปเตเมียและกรีกโบราณ ซึ่งเป็นยุคที่แนวคิดเกี่ยวกับการจัดที่พักและอาหารให้กับแขกผู้มาเยือนเริ่มเป็นรูปเป็นร่าง และกลายเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรม