มิชลินสตาร์ คือ สัญลักษณ์แห่งความเป็นเลิศในวงการอาหาร แต่หลายคนอาจไม่ทราบถึงประวัติความเป็นมาและหลักเกณฑ์การพิจารณารางวัลอันทรงคุณค่านี้ บทความนี้จึงจะพาทุกคนไปรู้จักเรื่องราวเบื้องหลังมิชลินสตาร์ตั้งแต่จุดเริ่มต้น ประวัติศาสตร์อันยาวนาน ตลอดจนมาตรฐานอันเข้มงวดที่เชฟและร้านอาหารต้องพิชิตเพื่อให้ได้มาซึ่งรางวัลอันทรงเกียรตินี้
ระบบมิชลินสตาร์กำเนิดขึ้นที่เมืองแกลร์มง-แฟร็อง ประเทศฝรั่งเศส ในปี 1889 โดยสองพี่น้องตระกูลมิชลิน อองเดรและเอดูอาร์ ผู้ก่อตั้งบริษัทยางรถยนต์ชื่อดัง โดยแรกเริ่มพวกเขามีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นยอดขายรถยนต์และยาง จึงได้สร้างคู่มือแนะนำการท่องเที่ยวที่รวบรวมข้อมูลอันเป็นประโยชน์สำหรับนักเดินทาง เช่น แผนที่ เคล็ดลับการเปลี่ยนยางรถยนต์ รวมไปถึงรายชื่อสถานที่พักและร้านอาหาร ซึ่งในช่วง 20 ปีแรก คู่มือนี้แจกฟรีให้กับลูกค้าและคนทั่วไป จนต่อมาในปี 1920 มิชลินได้ปรับโฉมคู่มือ โดยมีการเพิ่มรายละเอียดใหม่ ๆ เข้าไป เช่น รายชื่อโรงแรมและคอลัมน์แนะนำร้านอาหาร และเริ่มวางจำหน่ายในราคาเล่มละ 7 ฟรังก์
ความนิยมที่เพิ่มขึ้นของคอลัมน์ร้านอาหารนำไปสู่การจัดตั้งทีมนักชิมที่ไม่เปิดเผยตัวตน เพื่อออกไปตระเวนลิ้มลองและรวบรวมข้อมูลร้านอาหารต่าง ๆ ในปี 1926 ถือเป็นก้าวสำคัญเมื่อคู่มือมิชลินเริ่มจัดอันดับร้านอาหารด้วยระบบดาว และในปี 1931 ได้มีการกำหนดระดับดาวตั้งแต่ 0 ถึง 3 ดาว ต่อมาในปี 1936 เกณฑ์การพิจารณาสำหรับการจัดอันดับด้วยดาวมิชลินถูกเปิดเผยต่อสาธารณะซึ่งส่งผลต่อวงการร้านอาหารทั่วโลก ปัจจุบัน คู่มือมิชลินได้ขยายขอบเขตการจัดอันดับครอบคลุมร้านอาหารกว่า 30,000 แห่งใน 30 ประเทศทั่วโลก ด้วยยอดจำหน่ายรวมมากกว่า 30 ล้านเล่มนับตั้งแต่เริ่มก่อตั้ง สะท้อนให้เห็นถึงอิทธิพลอันยิ่งใหญ่ของมิชลินสตาร์ในวงการอาหารระดับโลก
เกณฑ์การประเมินมิชลินสตาร์
การมอบมิชลินสตาร์ให้แก่ร้านอาหารเป็นกระบวนการที่ผ่านการพิจารณาอย่างพิถีพิถัน โดยนักชิมอาหารจะเยี่ยมชมร้านอาหารต่าง ๆ โดยไม่เปิดเผยตัวตน และประเมินตามเกณฑ์การพิจารณาดังนี้
ท่าน See-Kiat Yeo แห่งสมาคม Chaine des Rotisseurs เคยกล่าวไว้ว่า “คุณค่าแท้จริงอยู่ที่การสร้างความประทับใจ หรือ Wow Factor ซึ่งควรครอบคลุมประสบการณ์โดยรวม ตั้งแต่การบริการที่ใส่ใจของพนักงานบริการ บรรยากาศร้าน ไปจนถึงอาหาร” ซึ่งร้านอาหารที่ได้รับการยกย่องด้วยมิชลินสตาร์ล้วนแสดงให้เห็นถึงความพิถีพิถันในทุกรายละเอียด ตั้งแต่วินาทีที่ลูกค้าก้าวเข้าร้านจนกระทั่งลูกค้าเดินออกจากร้าน สะท้อนให้เห็นถึงมาตรฐานที่มิชลินสตาร์ยึดถือในการมอบรางวัลอันทรงเกียรตินี้
มิชลินสตาร์แบ่งออกเป็นสามระดับ แต่ละระดับสื่อถึงคุณภาพและประสบการณ์การรับประทานอาหารที่แตกต่างกัน ดังนี้:
สำหรับวงการอาหาร การได้รับมิชลินสตาร์เปรียบเสมือนการได้ก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดของวิชาชีพ รางวัลนี้ส่งผลต่อร้านอาหารอย่างมากต่อชื่อเสียงและความสำเร็จธุรกิจทางธุรกิจ ด้วยเหตุนี้ มิชลินสตาร์จึงเป็นเป้าหมายอันยิ่งใหญ่ที่เชฟมากฝีมือต่างใฝ่ฝันที่จะคว้ามาครอง หากเปรียบเทียบกับวงการอื่น การได้รับมิชลินสตาร์ในวงการอาหารก็เปรียบเสมือนการได้รับรางวัลออสการ์ในวงการภาพยนตร์ รางวัลนี้ไม่เพียงแค่บ่งบอกถึงฝีมือการปรุงอาหารเท่านั้น แต่ยังสื่อถึงความมุ่งมั่นในการสร้างสรรค์ประสบการณ์การรับประทานอาหารที่ยอดเยี่ยมในทุก ๆ ด้าน เชฟต้องใช้เวลาหลายปีมุ่งมั่นพัฒนาฝีมือ ก้าวขึ้นตามลำดับขั้นในครัว เพื่อโอกาสที่จะได้ทำงานในร้านอาหารที่มีศักยภาพคว้ารางวัลนี้มาครอง การมีพื้นฐานที่แข็งแกร่งด้านการปรุงอาหาร จะเป็นก้าวแรกที่สำคัญของเชฟในการต่อยอดสู่มิชลินสตาร์ การเข้าศึกษาที่สถาบันสอนทำอาหารชั้นนำอย่าง Culinary Arts Academy Switzerland (CAAS) ซึ่งได้รับการจัดอันดับให้เป็นอันดับ 1 ของสวิตเซอร์แลนด์จะช่วยให้ผู้ที่ใฝ่ฝันอยากเป็นเชฟได้มีความรู้ด้านอาหารอย่างลึกซึ้ง โดยสถาบัน CAAS มีหลักสูตรเข้มข้นที่มุ่งเน้นความเชี่ยวชาญด้านการประกอบอาหาร สอนเทคนิคการปรุงอาหารขั้นสูง และปลูกฝังความคิดสร้างสรรค์ในด้านรสชาติและการจัดวางอาหาร คุณจะได้รับการสนับสนุนให้คิดค้นและพัฒนารูปแบบการปรุงอาหารที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้เชฟมีความโดดเด่นในแวดวงอาหารที่มีการแข่งขันสูงและมีโอกาสคว้ามิชลินสตาร์ได้ในที่สุด
การเรียนที่ CAAS คุณจะได้เรียนรู้จากผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์สูงในวงการ หลักสูตรของเราไม่เพียงแค่เตรียมความพร้อมให้คุณได้มีโอกาสได้รับมิชลินสตาร์เท่านั้น แต่ยังมุ่งเน้นการสร้างทักษะที่จำเป็นในการรักษามาตรฐานระดับสูงนี้ไว้ได้อย่างยั่งยืนในระยะยาวอีกด้วย