ต้องขอบอกพื้นหลังของผู้เขียนก่อนว่า เราเกิดและเติบโตในต่างจังหวัดห่างไกลจากเมืองหลวงโดยแท้จริง ด้วยความที่เมืองที่เราอยู่นั้นเป็นเมืองเล็ก ความเจริญ ความทันสมัยในด้านต่างๆ เช่น การคมนาคมขนส่ง การศึกษา หากเทียบกับเมืองหลวงแล้วก็ต้องยอมรับว่าทิ้งห่างกันมากทีเดียว ยิ่งในจังหวัดที่เราอยู่นั้น คนที่ได้เรียนต่อหรือทำงานต่างประเทศถือว่ามีจำนวนน้อย เมื่อพวกเขากลับมาเยี่ยมบ้านเกิดเมื่อใด ก็มักจะมีเรื่องเล่าจากต่างแดนให้ได้ยินได้ฟังกัน จนทำให้นึกอยากมีโอกาสใช้ชีวิตอยู่ต่างแดนบ้าง ดังนั้น หลังเราเรียนจบปริญญาตรีแล้วได้ทำงานในสิ่งที่เรียนมาสักระยะ ความคิดที่จะไปใช้ชีวิตและศึกษาสิ่งที่สนใจในต่างแดนนี้จึงกลับมาจริงจังอีกครั้งหนึ่ง จนกระทั่งความมุ่งมั่นตั้งใจนี้ทำให้เราได้ไปเรียนต่อต่างประเทศในที่สุด
สำหรับเราแล้ว การไปเรียนต่อต่างประเทศก็ถือว่าตอบโจทย์ความคาดหวังที่เรามีทุกประการ หากใครก็ตามที่ลังเลว่าจะไปเรียนต่อต่างประเทศดีไหม เราเลยอยากแชร์ว่าถ้าความคาดหวังของคุณตรงกับข้อใดข้อหนึ่งข้างล่างนี้อยู่บ้าง เราสนับสนุนให้คุณตัดสินใจลุยเพื่อตัวเอง แล้วคุณจะไม่เสียใจที่ไม่ได้ทำมันค่ะ...มาดูกันเลย
เราเชื่อเสมอว่า ถ้าเราทำอะไรด้วยวิธีเดิมๆ ผลลัพธ์ที่ได้ก็จะเหมือนเดิม ดังนั้นถ้าคุณอยากมีความเปลี่ยนแปลงในชีวิต การไปอยู่ต่างประเทศเป็นวิธีหนึ่งที่ทำให้คุณเห็นสิ่งที่แตกต่างออกไป และความแตกต่างนี้ก็อาจทำให้ทัศนคติของคุณเปลี่ยนไปและนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในชีวิต สิ่งที่แปลกใหม่นี้จริง ๆ แล้วก็ไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นเรื่องใหญ่เสมอไป บางทีเรื่องเล็กๆ ที่เราคาดไม่ถึงกลับทำให้ชีวิตเราเปลี่ยนไปได้มาก อย่างของเราก็คงเป็นเรื่องการเดินออกกำลังของชาวต่างชาติ ปกติแล้วเราเป็นคนที่ชอบความสบาย ไม่ชอบเดินเยอะๆ ไปไหนทีต้องใช้รถเก๋งขับไป ระยะทางใกล้ๆ ก็ยังขับไป แต่เมื่อไปเรียนเมืองนอก เวลาไปทำงานพิเศษหรือไปเจอเพื่อนๆ ก็มักเดินเท้าไปเจอกัน สุดท้ายต้องมาเป็นคนเสพติดการเดินและออกกำลังกายเป็นประจำ น้ำหนักหายไปหลายกิโลกรัม จากสาวหุ่นอวบกลายเป็นสาวหุ่นดี แบบนี้เลยต้องบอกว่าเปลี่ยนชีวิตจริงๆ
ความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษของเราแล้วถือว่าอยู่ในเกณฑ์ดี ดีในที่นี้คือ ผลสอบวัดระดับคะแนนเพื่อยื่นสมัครงานไม่น่าเกลียด และใช้สื่อสารโต้ตอบทางอีเมล์ในการทำงานออฟฟิศได้ แต่ถ้าเป็นทักษะการฟังและการพูดแล้วต้องบอกว่ายังไม่เข้าตากรรมการ โชคดีทีเดียวที่ตอนเรียนที่นั่นเราได้ที่พักแบบอยู่อาศัยกับเจ้าของบ้านชาวต่างชาติที่คอยคุย คอยแนะนำการใช้ภาษาที่ถูกต้องให้กับเรา จากตอนแรกที่ก่อนจะพูดคุยต้องเรียบเรียงในหัวเสียก่อน และเมื่ออีกฝ่ายพูดอะไรต่อ เราก็จับประโยคหลังๆ ไม่ทันเสียแล้ว ผ่านไปร่วม 6 เดือนภาษาเราก็เข้าที่เข้าทาง โต้ตอบได้เร็วขึ้น แต่แน่นอน ถ้าถามว่าภาษาอังกฤษของคนไปเรียนนอกหลังจบมหาวิทยาลัยแบบเราจะสมบูรณ์แบบเลยไหม ก็ต้องบอกว่าภาษาเราดีขึ้นมาก แต่ไม่ถึงขั้นสมบูรณ์แบบ เพราะภาษามันคือการฝึกฝนที่ใช้เวลานานสะสมมาเรื่อยๆ จนกลายเป็นทักษะติดตัว เราใช้เวลาไม่กี่ปีฝึกฝนจริงจังในสภาพแวดล้อมที่ใช่ ภายในระยะเวลาอันสั้นก็ต้องยอมรับกันไป
เราเป็นคนหนึ่งที่ชอบการท่องเที่ยว ชอบศึกษาวัฒนธรรมที่แตกต่าง ในการใช้ชีวิตในต่างแดนครั้งแรกนี้ก็เช่นกัน เราได้เรียนรู้ว่าวัฒนธรรมต่างบ้านต่างเมืองนี้เชื่อมั่นในศักยภาพของความเป็นมนุษย์ที่อยู่เหนือโชคชะตา ให้คุณค่าต่อการเคารพเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเอง ตัวอย่างหนึ่งที่เจอก็คือ ขณะที่เราทานข้าวกับครอบครัว แม่คงเห็นเราทานอย่างเชื่องช้าเหมือนลังเลที่จะทานจนหมด แกได้พูดกับเราว่าถ้าเราไม่ชอบ เราไม่ต้องฝืนกิน ที่บ้านนี้แต่ละคนมีความชอบและไม่ชอบที่แตกต่างกัน คุณไม่จำเป็นต้องฝืนทาน เพราะถ้าคุณทำอย่างนั้นคุณก็ไม่มีความสุข แถมอาจจะย้อนออกทางเดิมก็ได้ ซึ่งแบบนั้นยิ่งไม่มีประโยชน์เลย
ก่อนไปเรามีความหวังแค่ว่า เราได้ทำในสิ่งที่ไม่เคยทำ และการมีภาษาที่ดีขึ้นจะช่วยให้เราเป็นคนทำงานได้ดีขึ้นแค่นั้น ส่วนเรื่องเงินเดือนนั้นย่อมมีการปรับขึ้นตามวุฒิไม่มากก็น้อยอยู่แล้ว ตรงนี้ก็ถือเป็นส่วนเสริมให้กับการตัดสินใจ แต่หลังจากกลับมาแล้ว เรากลับคิดว่าความเปลี่ยนแปลงที่เราเคยมองว่าเกิดขึ้นเพียงชั่วระยะหนึ่งในเวลาที่เราไป ในความเป็นจริงสิ่งที่เกิดขึ้นมันคือความเปลี่ยนแปลงทั้งชีวิตเลยด้วยซ้ำ เพราะเรากลายเป็นเราคนใหม่นั่นเอง
นอกเหนือจากความรู้ที่ได้จากการเรียนแล้ว สิ่งที่ได้มาจากการไปเรียนต่างประเทศที่เป็นรูปธรรมสำหรับเราก็คือ ได้เพื่อนทุกวันนี้ เรายังมีเพื่อนจำนวนหนึ่งที่ติดต่อถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกัน โดยเฉพาะครอบครัวที่ให้ที่พักพิงแก่เรา ก็มีเดินทางมาเที่ยวเมืองไทยและมาพัก มาเห็นชีวิตความเป็นอยู่ของเราที่บ้าน ส่งอีเมล์ ส่งของขวัญตามเทศกาลต่างๆ มาให้กันและกันเสมอ